จับตาฟองสบู่จีนแตก ระวังซ้ำเติมศก.ไทย ฟังภาคเอกชนให้ความเห็น

จับตาฟองสบู่จีนแตก ระวังซ้ำเติมศก.ไทย ฟังภาคเอกชนให้ความเห็น

หมายเหตุ - ความเห็นของภาคเอกชนกรณีสถานการณ์ตลาดหุ้นจีนที่ปรับลดลงกว่า 30% ในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมาส่งผลกระทบทั้งตลาดเงินและตลาดทุนทั่วโลกจนหลายฝ่ายเกรงว่าฟองสบู่ตลาดหุ้นจีนกำลังจะแตก

จับตาฟองสบู่จีนแตก ระวังซ้ำเติมศก.ไทย ฟังภาคเอกชนให้ความเห็น

นพพร เทพสิทธา, สมภพ มานะรังสรรค์, สายัณห์ จันทร์วิภาสวงศ์, อมรเทพ จาวะลา


นายนพพร เทพสิทธา

ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย

ปัญหาฟองสบู่ในตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ของประเทศจีนจะเห็นได้ชัดว่ารัฐบาลจีนค่อนข้างมีความพร้อมในการแก้ไขปัญหาที่รวดเร็ว มีการออกมาตรการเติมเงินเข้าสู่ระบบอย่างรวดเร็ว โดยการใช้มาตรการช้อนซื้อหุ้นในตลาดหุ้นที่มีลักษณะคล้ายกับมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) ของสหภาพยุโรป (อียู) ซึ่งหากประเมินสถานการณ์เบื้องต้น รัฐบาลจีนน่าจะสามารถควบคุมสถานการณ์นี้ได้ และจะไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกมากเท่าใดนัก โดยหากมองในสินค้าไทยที่ส่งออกไปยังจีน ส่วนใหญ่จะเป็นวัตถุดิบกึ่งสำเร็จรูป อาทิ ยางพารา มันสำปะหลัง เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ ที่ใช้ในการผลิตเพื่อการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาของจีน ไม่ใช่เพื่อการบริโภคภายในประเทศ จึงไม่กระทบต่อการส่งออกของไทยไปจีนมากเท่าใดนัก

แต่หากจะให้มองในปัญหาระยะยาว ส่วนหนึ่งของปัญหาในตลาดหุ้นจีนในครั้งนี้ เกิดจากเกมการเงินและการเมืองระหว่างประเทศของ 2 ขั้วอำนาจโลก ทำให้เกิดการเทขายหุ้นในตลาดจีนจำนวนมากพร้อมกัน รวมทั้งปัญหาความขัดแย้งในทะเลจีนใต้ ปัญหาความขัดแย้งของอุยกูร์ และปัญหาความขัดแย้งระหว่างอื่นๆ ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่น่าจับตามองอย่างใกล้ชิด เพราะอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของจีน ทำให้เป้าการส่งออกของไทยไปจีนที่คาดหวังว่าจะกลับมาขยายตัวเป็นบวกในไตรมาส 3 และ 4 อาจไม่เกิดขึ้น รวมทั้งเป้าหมายส่งออกไปจีนทั้งปีจากที่ตั้งไว้ขยายตัว 0 ถึงติดลบ 2% อาจขยายตัวได้แค่ติดลบ 3% ถึงติดลบ 5% นอกจากนี้ปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นกับจีน จะยิ่งเป็นการซ้ำเติมเศรษฐกิจโลกให้เกิดการชะลอต่อเนื่องมากยิ่งขึ้นจากปัญหาวิกฤตหนี้สินของกรีซ

นายสมภพ มานะรังสรรค์

กรรมการสภาสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์

สถานการณ์ตลาดหุ้นจีนเป็นลักษณะลูกโป่งรั่วยังไม่ใช่ฟองสบู่แตก เป็นเพียงการถอนเงินลงทุนของต่างชาติออกไป เพราะตลาดหุ้นจีนยังไม่ได้เบ่งเต็มที่ ถ้าขึ้นมาต่อจากนี้อีก 3-6 เดือน หากเป็นไปลักษณะนี้แล้วปรับฐานลงมาก็มีโอกาสแตกได้เนื่องจากตลาดหุ้นจีนโตเร็วมาก ขณะนี้รัฐบาลจีนกำลังเย็บรอยรั่วลูกโป่ง โดยใช้มาตรการอัดฉีดเงินออกมา ให้บริษัทยักษ์ใหญ่ซื้อหุ้นตัวเองกลับคืน และให้กองทุนต่างๆ มาช่วยกันซื้อหุ้น ห้ามขายหุ้น และนำเอาบรรดากองทุนสวัสดิการสังคม บริษัทประกัน มาร่วมซื้อหุ้นด้วย คือระดมทุกอย่างเพื่อพยุงตลาดหุ้นที่ทรุดหนักมาก แต่ยังไม่ทันได้แตก ขณะเดียวกันการเย็บรอยรั่วครั้งนี้ไปแล้วจะไม่ทำให้ลูกโป่งบวมขึ้นมาเหมือนเดิม ดังเช่นช่วง 1 ปีที่ผ่านมาโดยเฉพาะ 6 เดือนหลังที่นักลงทุนรายย่อยของจีนค่อนข้างลงทุนอย่างขาดสติ ดังนั้นรัฐบาลจีนคงระดมสรรพกำลังทุกทางพยุงตลาดเงิน ตลาดทุนของจีนไว้ให้ได้

ที่ผ่านมาผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของจีน (จีดีพี) ชะลอตัวลง จากปัญหาการส่งออก-นำเข้า มีกำลังการผลิตล้นเกิน จีนหวังว่าจะกระตุ้นตลาดหุ้น ทำให้คนมีเงินมากขึ้น ก็จะจับจ่ายใช้สอยเพิ่มมากขึ้น และต้องการให้ภาคการเงินมาช่วยกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ให้กระเตื้องเป็นเรื่องเป็นราว จะช่วยให้จีดีพีกระเตื้องขึ้น แต่เมื่อกระเตื้องขึ้นแล้วก็มีปัจจัยเสี่ยงตามมาคือฟองสบู่ตลาดหุ้น ผลกระทบจากตลาดหุ้นจีนทรุดนั้น คาดจะทำให้ 1.การบริโภคในจีนที่ทำท่าจะดีขึ้นก็ชะลอตัวลง เมื่อการบริโภคชะลอตัวลงโอกาสในการกระตุ้นเศรษฐกิจคงยากขึ้น 2.คงเกิดความเสียหายไม่ใช่น้อย ไม่ว่าจะเป็นเงินออมของประชาชน ทั้ง 10 ล้านคนที่เป็นรายย่อยที่ระดมเงินเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้น จีดีพีของจีนปีนี้ที่จะทำให้เติบโต 7% ก็คงจะทำได้ยากขึ้น เพราะมาตรการ 2 ตัวให้ช่วยเศรษฐกิจมีพลังน้อยลงมากทั้งจากการบริโภคในประเทศและอสังหาริมทรัพย์

ส่วนผลกระทบต่อไทย จากตลาดหุ้นจีนดิ่งอย่างเร็ว คือ1.การส่งออกไทยที่ทรุดอยู่แล้วก็ยากที่จะฟื้นเพราะการส่งออก 5 เดือนแรกของไทยปีนี้อยู่ที่ - 4.2% และจีนเป็นตลาดที่ส่งออกสำคัญของไทยคิดเป็นสัดส่วน 13% โอกาสกอบกู้ส่งออกให้เป็นบวกก็ยิ่งยากขึ้น อย่างไรก็ตามระยะสั้นก็คงมีปัญหา ระยะยาวก็น่าจะค้าขายกันต่อไป จีนก็จะเติบโต 6-7% ไปอีกหลายปี

2.การลงทุนของจีนที่ทำท่าจะเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มมากขึ้นก็ชะลอตัวลง เพราะบริษัทจำนวนมากที่มีโอกาสเข้าลงทุนไทยก็เป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นจีน การลงทุนของจีนในไทยและจีนในอาเซียนก็จะชอตัวลง 3.ที่สำคัญมาก คือ ภาคการท่องเที่ยว ปีนี้ที่คาดจำนวนนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาในไทยราว 6-7 ล้านคนอาจไม่เป็นตามเป้า 4.ทำให้ตลาดหุ้นของไทยและในอาเซียน ประเทศอื่นปั่นป่วน สิ่งที่ผู้ประกอบการไทยพอรับมือได้คือบริหารความเสี่ยง ติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างระมัดระวัง ด้วยความรอบคอบวิเคราะห์ถูกต้อง ครึ่งปีหลังที่เศรษฐกิจยังไม่กระเตื้องไม่ได้มีปัจจัยเดียวจากจีน ภายในไทยเองก็มีปัญหาต่างๆ เช่น ภัยแล้ง คาดว่าการขยายตัวจีดีพีปีนี้ของไทยจะทรงๆ และอยู่ที่ 3% จากปัจจัยฐานการขยายตัวจีดีพีปีที่ผ่านมาต่ำ และปีนี้การลงทุนภาครัฐและเอกชนทั้งในและต่างประเทศคือตัวหลักที่จะช่วยดึงจีดีพี


นายสายัณห์ จันทร์วิภาสวงศ์

ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท เอ็กซ์เซลเล้นท์ บิสเนส คอร์ปอร์เรชั่น อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (อีบีซีไอ) ผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์

สถานการณ์ตลาดหุ้นจีนที่ภายในเวลา 3 สัปดาห์ราคาหุ้นดิ่งลงถึง 30% คิดเป็นมูลค่าถึง 3 ล้านล้านดอลลาร์นั้น คาดจะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการส่งออกของไทยไปจีนแน่นอน ส่วนมูลค่าความเสียหายจากผลกระทบอาจต้องรอดูสักระยะ เบื้องต้นผู้ประกอบการหลายรายในอุตสาหกรรมส่งออกได้หารือทางออกของการส่งออกที่ลดลงว่า จะหาตลาดใหม่เพิ่มเติม เช่น มุ่งขายให้ญี่ปุ่น ประเทศเพื่อนบ้าน และแอฟริกามากขึ้น


นายอมรเทพ จาวะลา

ผู้อำนวยการอาวุโสสำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย

ภาวะฟองสบู่แตกของจีนที่เกิดขึ้นขณะนี้มาจากตลาดหุ้นระงับการซื้อขายส่งผลให้ราคาร่วงลงแรงมองว่าเป็นผลกระทบระยะสั้นมากกว่ายังไม่ได้มีผลกระทบกับเศรษฐกิจมากไปกว่าทำให้เกิดการชะลอตัวกว่าที่คาดการณ์ไว้แต่อาจเห็นผลกระทบในระยะสั้นกับประเทศไทยใน 3 ด้าน ได้แก่ 1.ด้านการส่งออกของไทยไปจีนอาจมีแนวโน้มชะลอตัว เพราะจีนลดการนำเข้าไม่ใช่แค่จากไทยแต่จากทุกประเทศในภูมิภาคอาเซียน ในส่วนราคาสินค้าโภคภัณฑ์คงจะมีแนวโน้มปรับตัวลดลงบ้างเนื่องจากความต้องการของจีนลดลง ส่งผลกระทบต่อรายได้ภาคการส่งออกหลักๆ เช่น ยางพารา และสินค้าเกษตรอื่นๆ ที่ส่งออกไปจีน ดังนั้น การส่งออกครึ่งปีนี้จึงยังไม่ใช่ความหวังและอาจติดลบต่อเนื่องไปในครึ่งหลังของปี

2.ผลกระทบในด้านการท่องเที่ยวจากจีนสู่ไทยซึ่งจีนเป็นลูกค้าหลักของไทยเมื่อรายได้และความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจในประเทศของจีนลดลง จะส่งผลให้จีนเดินทางไปต่างประเทศน้อยลง แต่อาจกระทบเพียงนักท่องเที่ยวจีนในครึ่งปีหลังอาจไม่โตแรงแต่ยังสามารถเติบโตได้ไม่ติดลบ 3.ผลกระทบด้านตลาดเงินและตลาดทุน เนื่องจากต่างชาติมีการขายสินทรัพย์เสี่ยงในทุกภูมิภาครวมทั้งเงินบาท ส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่าตลาดหุ้นมีการปรับตัวลดลง และเงินไหลกับไปยังสหรัฐ แต่อย่างไรก็ตาม ผลกระทบดังกล่าวและเรื่องของค่าเงินบาทอ่อนค่าไม่น่าตื่นตระหนกมากนัก เนื่องจากอาจกระทบในระยะเวลาสั้นๆ แต่หากสถานการณ์เข้าสู่ภาวะรุนแรงรัฐบาลจีนรับมือไม่ไหว เศรษฐกิจจีนชะลอหนักอาจเติบโตไม่ถึง 6% การส่งออกไทยครึ่งในปีหลังคงหดตัวมากกว่าเดิมและการท่องเที่ยวอาจไม่ได้เป็นปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

"รัฐบาลไทยจะรับมือได้โดยเร่งหาตลาดใหม่ด้านการส่งออกในโซนอื่นการค้าชายแดนจะมีการขยายตัวมาก พัฒนาสินค้าของไทยให้เป็นที่ต้องการของตลาดโลกมากขึ้น เน้นคุณภาพที่ดีและใช้เทคโนโลยีทันสมัยช่วยในการผลิต ขณะที่ในส่วนภาคการท่องเที่ยวจะต้องมีการทำโรดโชว์และกระจายความเสี่ยงดึงดูดนักท่องเที่ยวจากประเทศอื่นนอกเหนือจากจีนเข้ามาไทยให้มากขึ้นในส่วนตลาดเงินคงจะต้องเป็นโจทย์ที่ฝากถึงธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้ดูแลในเรื่องความผันผวนของค่าเงิน ให้อ่อนค่าตามภูมิภาค พยายามดูแลไม่ให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาเก็งกำไรจากค่าเงินบาทมากจนเกินไป"


เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์